วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

โครงงานพัฒนาระบบงานทะเบียนออนไลน์

โครงงาน พัฒนาระบบงานทะเบียนออนไลน์
ระบบงาน

โดยโครงงานนี้จะมีการจัดการระบบได้แก่
1.ฝ่ายวิชาการ
2.คณะวิชา
3.ฝ่ายทะเบียน


1.ฝ่ายวิชาการ
โดยฝ่ายวิชาการจะเป็นฝ่ายการกำหนดคอร์สวิชาที่ต้องเรียนของแต่ละของนักศึกษาในแต่ละภาคเรียน ของนักศึกษาแต่ละคน จากนั้นก็จะส่งข้อมูลคอร์สวิชาที่ต้องเรียนไปยังฝ่ายลงทะเบียนและคณะวิชาการ โดยการพิมพ์รยงานคอร์สวิชาเรียนส่งไปให้ไป

2.ฝ่ายคณะวิชา
ฝ่ายคณะวิชาการจะเป็นฝ่ายเก็บรวบรวมข้อมูลของนักศึกษาไว้ และคอร์สวิชาที่จะเรียนของนักษาศึกษาแต่ละภาคเรียน นอกจากนั้นยังรับข้อมูลของการลงทะเบียนว่านักศึกษามีรายชื่อในวิชาเรียนนั้นรึเปล่า

3.ฝ่ายทะเบียน
ฝ่ายทะเบียนจะเป็นฝ่ายคอยรับข้อมูลจากการลงทะเบียนของนักศึกษา โดยจะให้นักษาลงทะเบียนตามฝ่ายวิชาวิการกำหนดคอร์สที่ต้องเรียนมา และจากนั้นก็จะส่งข้อมูลรายการของการลงทะเบียนไปให้ฝ่ายวิชาการต่อ และจากนั้นก็จะแสดงผลของการลงทะเบียนของนักศึกษา


สมาชิกภายในกลุ่ม
1. นายไกรวุฒิ เดชสุภา 5021237003
2.นายวีระชัย โกกนท 5021237005
3.นายกองพล สุนทรหงษ์ 5021237024

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ข้อแตกต่างกันของ JAVA แบบต่างๆ

jsp

JSP ย่อมาจาก Java Server Pages โดยพัฒนาบนพื้นฐาน
ของภาษาจาวาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ให้หน้าเว็บเพจมีความยืดหยุ่นสูงขึ้น โครง
สร้างของ JSP นั้นเป็นลักษณะของแท็ก (tag) ชนิดพิเศษที่แทรกเข้าไปใน
เอกสาร HTML และเปลี่ยนนามสกุลของเอกสารเป็น . JSP แทนที่จะเป็น .HTM
หรือ .HTML โดยแท็กเหล่านี้เว็บบราวเซอร์จะไม่สามารถตีความหมายได้ จะต้อง
นำไปประมวลผลก่อนที่เว็บเซิร์ฟเวอร์เท่านั้น (หรือที่เราเรียกว่าการทำงานแบบ Server Side) แล้วนำผลลัพธ์ทั้งหมดส่งกลับมายังเว็บบราวเซอร์ในลักษณะของ
เอกสาร HTML ซึ่งเว็บบราวเซอร์สามารถตีความหมายและนำมาแสดงผลได้

//Hello Word.HTML
HTML
BODY%= “Hello World”%
/BODY
/HTML




Java API

คือ Java ที่ทำงานเป็นหลักไม่ไปแสดงบนเว็บบราวน์เซอร์ต่าง และเป็นวิธีการเฉพาะสำหรับการเรียกใช้ระบบปฏิบัติการหรือแอพพลิเคชั่นอื่นๆ หรือชุดโค้ด คอมพิวเตอร์ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมต่อการทำงานระหว่างแอพพลิเคชั่นกับระบบ ปฏิบัติการ

// Hello Word.java
public class Hello Word
{
public static void main( String args[] )
{
System.out.println( "Hello Word !" );
}
// end method main
}
// end class Hello Word


Java servlet
Java servlet เป็นการเขียนภาษา Java เป็น html แล้วไปฝากไว้กับ servlet
Java servlet ต่างกับ JSP คือ jsp เป็น script language เหมือนอย่าง ASP และ PHP ที่แทรก html code เข้าไปได้เลย แต่ Java servlet เป็นโปรแกรมที่ไม่สามารถแทรก html code ได้ตามใจเหมือน jsp


out.print (”HTML”) ;out.print (”BODY”) ;
out.print (”Hello World”) ;
out.print (”/BODY”) ;
out.print (”/HTML”) ;



การติดตั้ง JSP

ติดตั้ง JDK


1. ขั้นตอนการติดตั้ง
เหตุผลที่ต้องติดตั้ง JDK ก็เพราะว่า Tomcat จำเป็นต้องใช้องค์ประกอบ
หลายอย่างของ JDK เวลาที่มันทำงาน เช่น java.exe เป็นต้น
1.1 ดับเบิลคลิกที่ไฟล์เพื่อเริ่มติดตั้ง JDK 1.3
1.2 เลือกปุ่ม Next ไปเรื่อย ๆ จากนั้นให้เลือกไดเรกทอรีเพื่อทำการติด
ตั้ง โดยเลือกที่ไดเรกทอรีไหนก็ได้ ในที่นี้จะอ้างอิงที่ C:\JDK1.3 แล้วกดปุ่ม
Next อีกที


2. การแก้ไขตัวแปร Path และ Class path
เมื่อติดตั้ง JDK 1.3 เสร็จเรียบร้อยแล้ว จะต้องกำหนดตัวแปร Path และ Classpath การกำหนดค่าให้ตัวแปร Path นั้นก็เพื่อให้คอมไพเลอร์จาวา
(JAVA C) สามารถเรียกจากที่ใดก็ได้นอกจากไดเรกทอรีที่ติดตั้งไว้ ส่วนตัวแปร
Classpath นั้นช่วยให้โปรแกรมจาวาที่เราพัฒนาขึ้น สามารถเชื่อมโยงกับคลาส
ไลบรารีอื่นๆ ที่อยู่คนละไดเรกทอรีกันได้ ขั้นตอนการกำหนดตัวแปรทั้งสอง
มีดังนี้
2.1 คลิกขวาที่ My computer เลือกที่เมนู Properties
2.2 จะปรากฏไดอะล็อกบ็อกซ์ System Properties ให้คลิกที่แท็บ Advanced
แล้วคลิกที่ปุ่ม Environment Variables
2.3 คลิกเลือกที่ตัวแปร Path ในช่องรายการ System Variables
2.4 เพิ่มเติมค่าที่ตัวแปร path เป็น C:\JDK1.3\BIN\;
2.5 คลิกเลือกตัวแปร Classpath
2.6 เพิ่มเติมค่าที่ตัวแปร Classpath เป็น C:\JDK1.3\jre\lib\;
2.7 จากนั้นให้คลิกปุ่ม OK ไปให้หมด

3. การทดสอบการทำงาน (Compile & Run )

ในการทดสอบว่าค่าตัวแปรที่เรา
กำหนดถูกต้องหรือไม่ ให้เรียก Command Prompt ขึ้นมา พิมพ์คำสั่งที่ Command Prompt ดังนี้
- พิมพ์คำสั่ง Path หากค่าที่แสดงออกมามีค่าที่เรากำหนดไว้รวมอยู่ด้วยคือ C:\JDK1.3\BIN\; แสดงว่าการติดตั้งถูกต้อง
- พิมพ์คำสั่ง echo %classpath% หากค่าที่แสดงออกมามีค่าที่เรากำหนดไว้รวมอยู่ด้วยคือ C:\JDK1.3\jre\lib\; แสดงว่าการติดตั้งถูกต้อง
Note :


สำหรับผู้ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 95/98/Me ให้แก้ไขเพิ่มค่าตัวแปร
Path และ Classpath ที่ไฟล์ autoexec.bat ดังนี้
- Path = C:\JDK1.3\BIN\;
- Classpath = C:\JDK1.3\jre\lib\;
แล้ว restart เครื่องเพื่อให้ค่าตัวแปรเปลี่ยนแปลงตามที่เรากำหนดไว้


ติดตั้ง เว็บเซิร์ฟเวอร์ (Apache Tomcat)


1. ขั้นตอนการติดตั้ง
1.1 ดับเบิลคลิกที่ไฟล์เพื่อเริ่มติดตั้ง Tomcat 3.2.1
1.2 ทำการ Unzip ไฟล์ Tomcat 3.2.1
1.3 ให้เลือกไดเรกทอรี C:\ Tomcat เพื่อแตกไฟล์ที่ zip มา ไปเก็บไว้
(สามารถเลือกไดเรกทอรีอื่น นอกเหนือจาก C:\ Tomcat ได้)


2. การเซ็ตค่าสภาพแวดล้อมและแก้ไขตัวแปรต่างๆ
เมื่อกอบปี้ไฟล์ต่าง ๆ ไปเก็บไว้ในไดเรกทอรีที่กำหนดแล้ว ขั้นตอนต่อไป
จะต้องกำหนดตัวแปร เพื่อให้ Tomcat ทำงานได้ ประกอบไปด้วย 2 ตัวแปร คือ
ตัวแปร TOMCAT_HOME กับ JAVA_HOME ดังนั้น ให้ไปยัง Environment
Variable อีกครั้ง แล้วเพิ่มตัวแปร 2 ตัว ดังนี้
2.1 เลือกที่ปุ่ม New เพื่อสร้างตัวแปรใหม่ใน System Variables
2.2 สร้างตัวแปร TOMCAT_HOME ใส่ค่าให้กับตัวแปรเป็นไดเรกทอรีที่
เราเลือกติดตั้ง Tomcat ในที่นี้คือ C:\ Tomcat
2.3 สร้างตัวแปร JAVA_HOME ใส่ค่าให้กับตัวแปรเป็นไดเรกทอรีที่เรา
เลือกติดตั้ง JDK1.3 ในที่นี้คือ C:\JDK1.3
2.4 คลิกปุ่ม OK ไปให้หมด
Note :
สำหรับผู้ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 95/98/Me ให้เพิ่มค่าตัวแปรทั้ง
สองตัวที่ไฟล์ autoexec.bat ดังนี้
- TOMCAT_HOME = C:\ Tomcat ;
- JAVA_HOME = C:\JDK1.3;
แล้ว restart เครื่องเพื่อให้ค่าตัวแปรเปลี่ยนแปลงตามที่เรากำหนดไว้
3. ความหมายของไดเรกทอรีต่าง ๆ

ไดเรกทอรีที่สำคัญใน ไดเรกทอรี C:\ Tomcat มีดังนี้

1. Directory
2. Content

4. การทดสอบการทำงานของ apache tomcat

เมื่อติดตั้ง Tomcat เรียบร้อยแล้ว เราจะมาทดสอบว่าขั้นตอนที่เราติดตั้ง
นั้น สามารถทำงานได้หรือไม่
1. ให้เรียก Command Prompt ขึ้นมาแล้วเข้าไปในไดเรกทอรีที่ติดตั้ง
Tomcat ไว้ ในที่นี้คือ C:\Tomcat จากนั้นให้เข้าไปในไดเรกทอรี bin เพื่อเรียก
Tomcat จากไฟล์ StartUp.bat
2. เมื่อเรียกไฟล์ StartUp.bat แล้ว จะปรากฏ Command Prompt อีกหน้า
ต่าง ชื่อว่า Tomcat3.2 ขึ้นมาและ Command Prompt จะค้างอยู่ทั้ง 2 หน้าต่าง
หากมีอันใดปิดไปเอง แสดงว่ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นให้ไปดูไฟล์ log ในไดเรก
ทอรี Logs แต่หากหน้าต่าง Tomcat 3.2 ปรากฏค้างอยู่แสดงว่า การติดตั้งเสร็จ
สมบูรณ์


สำหรับค่าเริ่มต้นนั้น Tomcat จะทำงานที่พอร์ต 8080 หากลงเซิร์ฟเวอร์ตัวอื่น เช่น จาวาเซิร์ฟเวอร์ซึ่งทำงานที่พอร์ตนี้เช่นกัน ให้ไปเปลี่ยนค่าพอร์ตของ Tomcat ในไฟล์ conf เพื่อไม่ให้พอร์ตชนกัน



วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2551

MPLS ( Multiprotocol Label Switching )

MPLS
( Multiprotocol Label Switching )

ในปี ค.ส. 1990 มีการจราจรบนเครนือข่ายอินเทอร์เน็ตติด ขัดเ้ป็นผลมาจากการที่มีการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น ต่อมาได้มีการคิดสร้าง Overlay Network ขึ้นมาใช้งาน นั่นคือการนยำเอาเครือข่าย TCP/IP
ไปซ้อนทับกับ เครือข่าย ATM แต่ว่า ATM มีความสามารถที่เหนือกว่าเครือข่ายในด้านประสิทธิภาพ
หลังจากการที่สร้า้ง OverlayNetwork ขึ้นใช้งานก็ูดูุเหมือนจะแก้ปัญหาการใช้เส้นทางสื่อสารมากเกินไปในบางสาย และน้อยเกินไปในบางสาย
ออกไป เนื่องจากสามารถที่จะกำหนด Virtual Basic บนเครือข่ายได้เป็นอย่างดี การใช้งานของทั้งสอง
ดูดีไปหมด Router จะกำหนดเส้นทางในการรับส่งข้อมูลด้วยโปรโตคอล OSPF และเมื่อไรก็ตามที่วิ่งเข้าสู่เครื่อข่าย ก็จะส่งผ่าน Virtual Basic ที่กำหนดไว้ เมื่อออกจาก
เครื่อข่าย ATM แล้ว Router ก็จะใช้โปรโตคอล OSPF เพื่อส่งข้อมูลไปจนกว่าจะถึงปลายทาง
ขณะที่ผู้ผลิต Router ก็ไม่ยอมที่จะอยู่เฉยพยานพยามที่ช่วงชิงระหว่างการใช้งาน ATM Switch
กับ Router ของตนอยู่ตลอดเวลา โดยการผลิต Router ที่ทำงานได้เร็วกว่า ATM Switch
ออกมาผลักดันกันอย่างรุกและรับตลอกเวลา
ในขณะเวลาเดียวกันในปี ค.ส.1997 ได้มีการมีการนตั้งกลุ่มที่ทำงานมารองรับปัญหาีที่จะต้องเิกิดขึ้น
ในอนาคตในเครื่อข่าย ATM เนื่องในปัจจุบันการส่งข้อมูลที่มี Overhead ปนมากเกินไป
ต่อมาจึงได้ สร้างเทคโนโลยีที่จะเข้ามาแก้ใขปัญหาเหล่านี้มีชื่อว่า MPLS( Multiprotocol Label Switching )
MPLS เกิดมาเพื่อลด Overhead ในการใช้งาน Virtual Circuit บนเครื่อข่าย TCP/IP ลงให้มากสุด ซึ้งเป็นการผนวกเครื่อข่าย ATM ซึ้งเป็นเครือข่ายแบบ Virtual Circuit Switching
และใช้ ATM Switch ในเลเยอร์ 2 เป็นหลัก เข้ากับเครือข่าย TCP/IP ซึ้งเป็นแบบเครือข่าย
Package Switching และใช้ Router ในเลเยอร์3 เป็นหลักเข้าด้วยกัน
ประโยชน์ที่ได้รับคือ
1.สามารถแก้ปัญหาการจราจรบนเครือข่ายได้เป็นอย่างดี
2.มีการควบคุมคุณภาพการบริการที่ดี
3.สามารถใช้งานเป็นแบบ Tunnel ให้ VPN ได้เป็นอย่างดี
4.สนับสนุนโปรโตคอลได้หลากหลาย

แม่ว่า MPLS จะเพิ่งถูกกำหนดให้เป็นมาตรฐานใน ปี ค.ส.2001 แต่ก็มีการใช้งานอย่างกว้่างขวาง
ในไม่ช้า เนื่องจากความคับคั่งที่มากมายของข้อมมูลในเครือข่ายที่นับวันยิ่งมากขึ้น

การทำงานของ MPLS
หลักการทำงานของ MPLS คือการสร้างระบบจัดการเส้นทางของ package ขึ้นมาใหม่ในบริเวณเครือข่ายที่กำหนด เรียกเส้นทางนี้ว่า LSP โดยภายในขอบนี้ package
จะวิ่งเข้ามาจะถูกกำหนด Label ประจำตัวใหม่ จากนั้นจะวิ่งไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้ใน SLP
เมื่อวิ่งมาสุดของ SLP ก็จะนำ Label ออกจาก Package และปล่อยเป็นหน้าที่ของ Header เดิม
ของ Package ทำหน้าที่นำข้อมูลส่งถึงปลายทางที่แท้จริง





บทที่ 3 โครงสร้งของโปรโตคอล

บทที่ 3 โครงสร้งของโปรโตคอล TCP/IP

TCP/IP มีการจัดแบ่งการทำงานเป็นชั้นๆ แบ่งเป็น layer ต่างๆ ประกอบด้วย
1. Process layer or Application Layer
2. Host-to Host layer or Transport Layer
3.Internetwork layer
4. Network Interface layer

1. Process layer or Application Layer
เป็นการทำงานหลักๆอยู่ 2 อย่าง โดยเป็นการแสดงผลบาง เป็นการถ่ายโอนข้อมูลต่างๆ โดยโปรโตคอลหลักๆที่ทำงานใน Process layer ได้แก่
1.FTP (File Transfer Proocot)
2.Telnet
3.HTTP (Hyper Text Transfer Protocol)
4. SMTP (Simple Mail Transfer Protocol) แต่มีที่อยู่เบื้องหลังได้แก่ DNS , SNMP , DHCP

2. Host-to Host layer or Transport Layer
เป็นการทำงานเป็นจุดเชื่อมต่อกันระหว่าง แอพพลิเคชั่น โดยมีโปรโตคอลที่ทำงานในชั้นนี้ได้แก่
1. โปรโตคอล TCP (RFC 793)
2. โปรโตคอล UDP (RFC 791)

3.Internetwork layer
เป็นลำดับล่างลงมาอีก ที่มีหน้าที่ส่งผ่านข้อมูลระหว่างเครือข่ายบนอินเตอร์เน็ต ที่มีโปรโตคอล 2 ชนิด ได้แก่
1.โปรโตคอล Internet Control Message Protocol (ICMP)
2.โปรโตคอล Address Resolution Protocol (ARP)

4. Network Interface layer
เป็นการทำงานในชั้นล่างสุด จะเป็นการแปลงข้อมูล IP datagram ให้อยู่ในรูปที่เหมาะสม และแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งไปยังเครือข่ายต่อไป ที่เปรียบเทียบกับ OSI Model เท่ากับ 2 เลเยอร์ ได้แก่ ชั้น Data link layer และ ชั้น Physical layer



การส่งข้อมูลในเครือข่ายเดียวกัน

1. โปรโตคอล IP จะเรียกใช้บริการโปรโตคอล ARP (Address Resolution Protocol) เพื่อแปลงหมายเลข ปลายทางในเป็นค่าหมายเลขฮาร์แวร์ เช่น MAC address

2. เมื่อโปรโตคอล IP ได้รับหมายเลขฮาร์ดแวร์ ก็จะส่งข้อมูลนั้นไปยังฮาร์ดแวร์ที่ระบุไว้
การส่งข้อมูลข้ามเครือข่าย มีกลไกดังนี้
2.1 โปรโตคอล IP ตรวจสอบพบว่าหมายเลข IP Address ปลายทางอยู่คนละเครือข่ายกัน โดยโปรโตคอล IP จะอ่านค่า IP Address ของ Router เพื่อเตรียมส่งข้อมูลไปที่ Router แทน ซึ้งในที่นี้จะกำหนดเป็น default router

2.2 โปรโตคอล IP จะเรียกใช้บริการโปรโตคอล ARP เพื่อแปลงค่า IP Address ของ Router ให้เป็นค่าหมายเลขฮาร์ดแวร์

2.3 โปรโตคอล IP ส่งข้อมูล IP datagramไปยัง Router ที่กำหนดไว้ จากนั้น Router ส่งข้อมูลข้ามไปตามขั้นตอน

วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

หลักการทำงาน TCP/IP


หลักการทำงาน TCP/IP

ในการส่งข้อมูลผ่านทาง TCP/IP นั้น TCP/IP จะทำการแบ่งข้อมูลนั้นออกเป็นส่วนย่อยๆ เรียกว่า แพ็คเก็ต (Packet) โดยแต่ละส่วนจะถูกเพิ่มข้อมูลบอกตำแหน่ง ต้นทาง และปลายทางที่จะส่งไว้ให้ จากนั้นแพ็คเก็ตเหล่านี้จะถูกส่งกระจายผ่านไปยังเส้นทางต่างๆ ที่เชื่อมโยงกันในระบบตามเส้นทางที่สามารถส่งถึงปลายทางได้ โดยแต่ละแพ็คเก็ตไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับหรือไปตามเส้นทางเดียวกัน ซึ่งในระบบจะมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า เราท์เตอร์ (Router) จะเป็นตัวที่คอยจัดหาเส้นทางที่ดีที่สุดให้กับทุกแพ็คเก็ต ดังนั้น หากเส้นทางใดเกิดเสียหาย เราท์เตอร์ก็จะทำการเปลี่ยนเส้นทางใหม่ให้ในทันที และถ้าหากเกิดความเสียหายขึ้นกับแพ็คเก็ตจะนำแพ็คเก็ตส่วนนั้นกลับมาใหม่ เมื่อแพ็คเก็ตเหล่านั้นมาถึงปลายทาง ก็จะถูกรวบรวมกลับมาเป็นข้อมูลชิ้นเดิมที่สมบูรณ์อีกครั้ง

วันพุธที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Mac Adress 2

Mac Adress
Prefix Vendor
000879 CEM Corporation

Mac Addres

Mac Addres
1. Prefix Vendor
2. 000856 Gamatronic Electronic Relaiswerke KG
3. 000865 JASCOM CO., LTD
4. 008085 h-three systems corporation
5. 000854 Netronix, Inc.

Layer-3switch


Layer-3switch
Layer-3switch เป็นอุปกรณ์เครือข่ายเหมือนกับอุปกรณ์เครือข่ายประเถท Layer,Switch
โดย Layer-3switch ได้รวมเอาข้อดีของ switch และ Router เข้าด้วยกัน ในอุปกรณ์ตัวเดียวกัน
คือมีความสามารถในการแบ่งแยก LAN traffic ของเครือข่ายที่มีจำนวนเครือข่ายลูกข่ายมากๆ
ได้เหมือนกันกับ Router และมีความเร็วในการแบ่งแยกข้อมูลเหมือน Switch โดยอาศัยฮาร์ดแวร์เป็นตัวทำงาน ซึ่งทำให้การแบ่งแยกข้อมูล LAN traffic ระหว่างกลุ่มย่อยๆในเครือข่ายมีความเร็วสูงในทั้ง Layer 2และ Layer 3 ของ OSI Model
นอกจากนี้ Layer 3 Switchยังติดตั้งง่ายกว่าและมีราคาถูกกว่า Router อีกด้วย

วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Gateway
เป็นอุปกรณ์ที่มีความสารถสูงสุดในการเชื่อมต่อเครือข่ายต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยสามารถเชื่อมต่อ
LAN หลายๆเครือข่ายที่ใช้โปรโตคอลต่างกัน และใวช้ media หรือสายส่งข้อมูลต่างชนิดกัน
ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ตัวอย่างเช่น เชื่อมต่อ Ethernet LAN ที่ใช้สายส่งข้อมูลแบบ Unshielded
Twisted Pair เข้ากับ Token Ring LAN ได้ หากโปรโตคอลที่ใช้รับส่งข้อมูลของเครือข่ายทั้งสองไม่เหมือนกัน Gateway ก็จะทำหน้าที่
ี่แปลงโปรโตคอลให้ตรงกับเส้นทางและเหมาะสมกับอุปกรณ์ ของฮาร์ดแวร์ที่แต่ละเครือข่ายใช้อยู่
ในการที่ Gateway จะสามารถส่งข้อมูลจากเครือข่ายหนึ่งไปยังอีกเครือข่ายหนึ่งได้อย่างถูกต้องนั้น
ตัวของ Gateway เองจะสร้างตารางส่งข้อมูล หรือเรียกว่า Routing Table ขึ้นมาในตัวมัน
ชึ้งตารางนี้จะบอกว่า server ไหนอยู่เครือข่ายใด และอยู่ภายใต้ Gateway อะไร ตารงมี้จะมีการปรับปรุง
ทุกระยะ

Router
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อ LAN หลายๆ เครือข่ายเข้าด้วยกันคล้ายกับ Switch เเต่จะมีส่วนเพิ่มเติมขึ้น
มา คือ Router สามารถเชื่อมต่อ LAN ที่ใช้โปลโตคอลในการรับส่งข้อมูลเหมือนกัน เเต่ใช้ media หรือ
สายส่งต่างชนิดกันได้ เช่น เชื่อมต่อ Ethernet LAN ที่ใช้ได้รับส่งข้อมูลเเบบ Unshielded Twisted
Pair เข้ากับ Ethernet อีกเครือข่ายหนึ่งที่ใช้สายส่งข้อมูลเเบบ Coaxial Cable ได้ Router มีการ
ทำงานในระดับ Layer ที่ 3 ของ OSI Model คือ Network Layer เเละสามารถรับส่งข้ิอมูลที่เป็นกลุ่ม
ข้อมูลหรือ Frame จากต้นทางไปยังปลายทางได้ โดยเลือกหรือกำหนดเส้นทางที่ข้อมูลจะถูกส่งไป
เเละเเปลงข้อมูลให้เหมาะสมกับอุปกรณ์ฮาร์ดเเวร์ที่ไช้รับส่งใน 2 ชั้นล่างถัดไปที่เชื่อมต่ออยู่ การติดตั้งใช้งาน Router จึงยุ่งยากกว่าการติดตั้ง Hub เเละ Switch โดยจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการกำหนด Network Address ชองเครือข่ายเเต่ละชนิดที่จะใช้
Router เชื่อมต่อเครือข่ายเหล่านั้นเข้าด้วยกัน รวมทั้งชนิดของฮาร์ดเเวร์ที่ใช้เชืื่อมต่ออย่างละเอียด
Router จึงมีราคาที่เเพงกว่า Switch เเละ Hub ตามลำดับ

Hub หรือ Repeater
เป็นอุปการณืที่ทำหน้าที่ขยายสัญญ่นที่ได้รับมาส่งต่อให้กับอุปกรณ์อื่นที่ต่อเข้ากับมัน จัดเป็นอุปกรณ์ที่มีการทำงานอยู่ใน Layer ที่1 หรือ Physical Layer ของ OSI Model เพราะว่าตัว Hub หรือ Repeaterนี้จะขยายสัญญาณที่ได้รับโดยไม่มีซอฟต์เเวร์มาเกี่ยวข้องในการ
จัดรูปเเบบของข้อมูลเหรือเปลี่ยนเเปลงข้อมูลที่ได้รับมาเเต่อย่างใด การติดตั้ง Hub จึงทำได้ง่าย เพราะไม่มีอะไรต้องปรับเเต่งในเเง่ของซอฟต์เเวร์ จุดประสงค์ในการติดตั้ง Hub เพื่อขยอยสัญญาณให้
ต่อกับอุปกรณ์ต่างๆได้มากขึ้น หรือในบางกรณีก็ต่อเพื่อเพิ่มระยะทางของสายให้ไกลเพิ่มขึ้นเท่านั้น

อุปกรณ์เครือข่าย switch


switch
เป็นอุปกรณ์สำหรับเชื่อมต่อ LAN สองเครือข่ายเข้าด้วยกัน โดยจะเป็ฯ LAN โดยจะเป็น
LAN ประเภทเดียวกัน เเละใช้โปรโตคอลในการรับส่งข้อมูลเหมือนกัน เช่น ใช้ในการเชืี่อมต่อ
Ethernet LAN สองเครือข่ายเข้าด้วยกัน หรือต่อ Token Ring LAN สองเครือข่ายเข้าดเ้วยกัน
Swich จะมีการทำงานในระดับ Layer ที่ 2